วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559

อ่านผลตรวจเลือดด้วยตนเอง

อ่านผลตรวจเลือดด้วยตนเอง
โดย นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

วันนี้ผมจะรวบยอดสอนการแปลผลการตรวจเคมีในเลือดให้ฟัง ท่านที่ถามมาคล้ายกันแต่ว่าผมไม่ได้ตอบก็ขอให้เอาวิธีแปลผลที่คุยกันวันนี้ไปแปลผลการตรวจของท่านเอาเองก็แล้วกัน

1.. Blood chemistry แปลตรงๆว่าเคมีของเลือด หมายถึงระดับของสารต่างๆที่อยู่ในเลือดซึ่งก่อปฏิกิริยาเคมีได้ ซึ่งการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของสารเหล่านี้ บ่งบอกไปถึงว่าจะมีโรคอะไรเกิดขึ้นในร่างกายบ้าง

 2.. FBS = ย่อมาจาก fasting blood sugar แปลว่าระดับน้ำตาลในเลือดหลังการอดอาหารมาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เป็นการตรวจสถานะของโรคเบาหวานโดยตรง คือคนปกติค่านี้จะต่ำกว่า 100 mg/dL ถ้าของใครสูงเกิน 125 ก็ถือว่าเป็นเบาหวานแล้วอย่างบริบูรณ์

3.. HbA1C = ย่อมาจาก hemoglobin A1C แปลว่าระน้ำตาลสะสมเฉลี่ยสามเดือนในเม็ดเลือดแดง มีความหมายคล้ายๆกับค่า FBS คือโดยคำนิยามถ้าน้ำตาลสะสมเฉลี่ยของของใครสูงกว่า 6.5% ก็ถือว่าเป็นโรคเบาหวานไปแล้วอย่างบริบูรณ์ ค่า HbA1C นี้ดีกว่าค่า FBS ในสองประเด็น คือ3.1 ทำให้เราตรวจคัดกรองเบาหวานได้ทุกเมื่อ โดยไม่ต้องอดอาหารมาล่วงหน้า3.2 การที่มันสะท้อนค่าน้ำตาลในเลือดในช่วงเวลาสามเดือนย้อนหลัง จึงตัดปัญหาระดับน้ำตาลวูบวาบในช่วงหนึ่งวันก่อนการตรวจ คือคนไข้บางคนที่จะทำตัวดีเฉพาะสองสามวันก่อนไปหาหมอเพื่อให้น้ำตาลในเลือดดูดี พอคล้อยหลังหมอตรวจเสร็จก็ออกมาสั่งไอติมมากินเป็นกะละมังให้หายอยาก คนไข้แบบนี้การตรวจ HbA1C จะทำให้ทราบสถานะที่แท้จริงของเบาหวานดีกว่า

4.. BUN =  ย่อมาจาก blood urea nitrogen แปลว่าไนโตรเจนในรูปของยูเรีย  ตัวยูเรียนี้เป็นเศษของเหลือจากการเผาผลาญโปรตีนที่ตับ ซึ่งต้องถูกกำจัดทิ้งโดยไต การวัดระดับค่าของ BUN เป็นตัวบ่งบอกว่าเลือดไหลไปกรองที่ไตมากพอหรือไม่ ในภาวะที่เลือดไหลไป่กรองที่ไตน้อยลง เช่นในภาวะร่างกายขาดน้ำ หรือสูญเสียเลือดไปทางอื่นเช่นเลือดออกในทางเดินอาหาร หรือในภาวะช็อก ระดับของ BUN จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่าปกติของ BUN คือ 8-24

5.. Cr = เขียนเต็มว่า Creatinine แปลว่าเศษเหลือจากการสลายตัวของกล้ามเนื้อ คือกล้ามเนื้อของคนเรานี้มันสลายตัวและสร้างใหม่อยู่ตลอดเวลา คนมีกล้ามมากก็สลายตัวมากสร้างมาก Cr ซึ่งเป็นเศษซากที่สลายตัวออกมาจะถูกไตขับทิ้งไป แต่ในกรณีที่ไตเสียการทำงาน เช่นเป็นโรคไตเรื้อรัง ไตจะขับ Cr ออกทิ้งไม่ทันกับที่กล้ามเนื้อสลายออกมา ทำให้ระดับ Cr ในเลือดสูงผิดปกติ ค่าปกติของมันคือ 0.7-1.2 mg/dL

6.. eGFR = เรียกสั้นๆว่า จีเอฟอาร์. ย่อมาจาก estimated glomerular filtration rate แปลว่าอัตราการไหลของเลือดผ่านตัวกรองของไตในหนึ่งนาที ค่านี้ได้จากการคำนวณเอาจาก Cr กับอายุ และชาติพันธุ์ของเจ้าตัว ห้องแล็บที่ยังไม่ทันสมัยจะไม่รายงานค่านี้ ถ้าเจ้าตัวอยากทราบค่านี้ต้องเอาค่า Cr ที่ได้ไปอาศัย GFR calculator ตามเว็บในเน็ทคำนวณให้ ค่าจีเอฟอาร์.นี้มีประโยชน์มากในแง่ที่ใช้แบ่งระดับความรุนแรงของคนที่ Cr ผิดปกติอย่างคุณนี้ว่ามีความรุนแรงเป็นโรคไตเรื้อรังระยะไหนของ 5 ระยะ กล่าวคือระยะที่ 1 ตรวจพบพยาธิสภาพที่ไตแล้ว แต่ไตยังทำงานปกติ (จีเอฟอาร์ 90 มล./นาที ขึ้นไป) ระยะที่ 2 ตรวจพบพยาธิสภาพที่ไตแล้ว และไตเริ่มทำงานผิดปกติเล็กน้อย (จีเอฟอาร์ 60-89 มล./นาที) ระยะที่ 3 ไตทำงานผิดปกติปานกลาง ไม่ว่าจะตรวจพบพยาธิสภาพที่ไตหรือไม่ก็ตาม (จีเอฟอาร์ 30-59 มล./นาที)ระยะที่ 4 ไตทำงานผิดปกติมาก (จีเอฟอาร์ 15-29 มล./นาที)ระยะที่ 5. ระยะสุดท้าย (จีเอฟอาร์ต่ำกว่า 15 หรือต้องล้างไต)  

 7.. Uric acid ก็คือกรดยูริกที่เป็นต้นเหตุของโรคเก้าท์นั่นแหละ ค่าปกติของกรดยูริกในเลือดคือ 3.4-7.0

8..Triglyceride คือไขมันไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นไขมันก่อโรคชนิดหนึ่งในร่างกายเรา ระดับที่สูงจนต้องใช้ยาคือเกิน 200 mg/dl

9.. HDL-cholesterol เรียกสั้นๆว่าเอ็ช.ดี.แอล. เรียกอีกอย่างว่า “ไขมันดี” เพราะมันเป็นไขมันที่ดึงไขมันที่พอกหลอดเลือดออกไปจากหลอดเลือด ดังนั้นยิ่งมีเอ็ช.ดี.แอล.มากก็ยิ่งดี คนปกติควรมีเอ็ขดีแอล.เกิน 40 mg/dl ขึ้นไป

10.. LDL-cholesterol เรียกสั้นๆว่าแอลดีแอล. หรือเรียกอีกอย่างว่า “ไขมันเลว” เพราะมันเป็นตัวไขมันที่พอกอยู่ที่ผนังหลอดเลือดและเป็นไขมันก่อโรคโดยตรง การจะตัดสินว่าคนไข้คนไหนควรกินยาลดไขมันเมื่อไหร่ก็ตัดสินกันจากระดับแอลดีแอล.นี่แหละ โดยเทียบกับความเสี่ยงในการเป็นโรคที่แต่ละคนมีเป็นทุนอยู่แล้ว  กล่าวคือถ้ามีความเสี่ยงต่ำ จะให้เริ่มทานยาลดไขมันเมื่อ LDL มากกว่า 160ถ้ามีความเสี่ยงปานกลาง จะให้เริ่มทานยาลดไขมันเมื่อ LDL มากกว่า 130ถ้ามีความเสี่ยงสูง หรือเป็นโรคหัวใจ หรือเบาหวาน หรืออัมพาตแล้ว จะให้เริ่มทานยาลดไขมันเมื่อ LDL มากกว่า 100 

11. Total Cholesterol หมายถึงโคเลสเตอรอลรวมในร่างกาย เป็นค่ารวมของไขมันสามอย่าง กล่าวคือ    โคเลสเตอรอลรวม = ไขมันดี (HDL) + ไขมันเลว (LDL) + หนึ่งในห้าของไขมันไตรกลีเซอไรด์      สมัยก่อนเราใช้ค่าโคเลสเตอรอลรวมตัวนี้ตัวเดียวในการประเมินไขมันในเลือด จึงได้กำหนดค่าปกติไว้ว่าถ้าสูงเกิน 240 mg/dl จึงจะถือว่าสูงและเริ่มใช้ยา แต่สมัยนี้เราไม่ค่อยจะดูค่าโคเลสเตอรอลรวมกันเท่าไหร่แล้ว เราดูเจาะลึกลงไปถึงไขมันแต่ละชนิด และตัดสินใจใช้หรือไม่ใช้ยาจากระดับไขมันเลว (LDL) โดยไม่สนใจโคเลสเตอรอลรวมแล้ว เพราะค่านี้มักชักนำให้เข้าใจผิด ยกตัวอย่างเช่นถ้าดูค่าโคเลสเตอรอลรวมได้ 214 ซึ่งก็แค่สูงเกินพอดีไปบ้างแต่ไม่สูงถึงกับต้องใช้ยา แต่ว่าจริงๆแล้วเป็นความเข้าใจผิด เพราะค่าโคเลสเตอรอลรวมดูต่ำอยู่ได้เพราะมีไขมันดี (HDL) ต่ำกว่าปกติ เลยพลอยทำให้ค่าโคเลสเตอรอลรวมต่ำไปด้วย ทั้งๆที่เป็นคนมีไขมันเลวอยู่ในระดับสูงถึงขั้นต้องใช้ยาแล้ว

12.. AST(SGOT) = ย่อมาจาก aspartate transaminase หรือชื่อเก่าว่า serum glutamic oxaloacetic transaminase เป็นเอ็นไซม์ที่ปกติอยู่ในเซลของตับ ซึ่งจะไม่ออกมาในเลือด หากมีเอ็นไซม์ตัวนี้ออกมาในเลือดมากก็แสดงว่าเซลตับกำลังได้รับความเสียหาย เช่นอาจจะมีตับอักเสบจากการติดเชื้อหรือจากสารพิษ หรือแม้กระทั้งจากแอลกอฮอล์ และไขมันแทรกเนื้อตับ ค่าปกติของ AST คือไม่เกิน 40 IU/L

13.. ALT (SGPT) = ย่อมาจาก alamine amintransferase หรือชื่อเก่าว่า serum glutamic pyruvic transaminase เป็นเอ็นไซม์ที่ปกติอยู่ในเซลของตับเช่นเดียวกับ AST และจะออกมาในเลือดเมื่อเซลตับได้รับความเสียหายเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีเนื้องอกอุดตันทางเดินน้ำดี ค่าปกติของ ALT คือไม่เกิน 34 IU/L

14.. Alkaline Phosphatase = เป็นเอ็นไซม์ที่อยู่ในเซลของตับ ทางเดินน้ำดี และของกระดูกเป็นส่วนใหญ่ ความหมายของเอ็นไซม์ตัวนี้หากมันสูงขึ้นคืออาจจะมีปัญหาที่ทางเดินน้ำดี ตับ หรือกระดูก ค่าปกติในผู้ชายผู้ใหญ่ไม่เกิน 128 U/L

15.. GTT = ย่อมาจาก gamma glytamyl transpeptidase เป็นเอ็นไซม์ในเซลตับและทางเดินน้ำดีเช่นเดียวกับ ALT มีความไวต่อความเสียหายของเซลตับมากกว่า แต่ขาดความจำเพาะเจาะจง หมายความว่าเมื่อ GTT สูงจะเกิดจากอะไรก็ได้ที่อาจจะไม่ใช่เรื่องของตับ เช่นอาจมีปัญหาที่ตับอ่อน ที่หัวใจ ที่ปอด หรือแม้กระทั่งเป็นเบาหวาน อ้วน หรือดื่มแอลกอฮอล์ ก็ทำให้ GTT สูงได้ สารตัวนี้จึงไม่มีประโยชน์ในการคัดกรองโรคเลย

16.. HBs Ag = ย่อมาจาก hepatitis B surface antigen แปลว่าตัวไวรัสตับอักเสบบี.ซึ่งตรวจจากโมเลกุลที่ผิวของมัน ถ้าตรวจได้ผลบวกก็แปลว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี.อยู่ในตัว หากตรวจได้ผลลบ ก็แปลว่าไม่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี.

17.. Anti HBs = ย่อมาจาก antibody to hepatitis B surface antigen แปลว่าภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบบี. หากตรวจได้ผลบวกก็แปลว่าคุณมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสบี.แล้ว ไม่ต้องไปแสวงหาการฉีดวัคซีน

คนไทยวัยGeneration X หรือเรียกสั้นๆว่า Gen X คือมีอายุประมาณสามสิบกว่าไปถึงห้าสิบ คนไทยรุ่นนี้เจาะเลือดมาดูเถอะครับ สิทธิการิยะท่านว่าจะไม่ได้ตายดี อุ๊บ..ขอโทษ ผมปากเสียอีกละ พูดใหม่ เจาะเลือดมาดูเถอะ โครงสร้างของสารเคมีในเลือดแตกต่างจากคนไทยรุ่นก่อนนั้นราวกับเป็นมนุษย์คนละพันธ์

มีงานวิจัยหลายรายการมากที่สนับสนุนคำพูดของผม รวมทั้งงานวิจัยของผมเองที่ศึกษาเคมีของเลือดคนสุขภาพดีอายุ 40+ จำนวนสามพันกว่าคนที่มาตรวจสุขภาพที่รพ.พญาไท 2 พบว่าเกินครึ่งมีไขมันในเลือดผิดปกติถึงระดับที่ต้องใช้ยา ประมาณหนึ่งในสามเป็นความดันเลือดสูง โดยที่ส่วนใหญ่ยังไม่รู้ตัว และหนึ่งในสามใกล้จะเป็นเบาหวาน และมีดัชนีมวลกายเฉลี่ยสูงเกินพอดี คือเป็นคนไทยรุ่นที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นโรคเรื้อรังอยู่เพียบ..บ..บ จนสามารถคาดเดาได้เลยว่าคนวัยนี้จะจบชีวิตด้วยการป่วยเป็นโรคเรื้อรังอันได้แก่โรคหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง (อัมพาต) ความดันเลือดสูง โรคไต โรคเบาหวาน เป็นต้น จนผมอยากจะเปลี่ยนชื่อรุ่นจาก Gen X เป็น Gen Sick แทน เพราะว่ายังไม่ทันแก่ก็มีโรคแพลมออกมาให้เห็นเพียบแล้ว

เมื่อหลายเดือนก่อนมีหมอน้อยคนหนึ่งมาปรึกษาว่าจะไปฝึกอบรมทางด้านผ่าตัดหัวใจดีไหม อนาคตการทำมาหากินจะฝืดเคืองไหม ผมรีบตอบว่า     “เอาเลยน้อง พี่ดูไขมันในเลือดของคนไข้วัยสี่สิบห้าสิบวันนี้แล้ว เอ็งจบแล้วจะมีงานทำล้นมือไปอีกอย่างน้อยยี่สิบปี”

คัดย่อจาก บทความเรื่องสอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด  เมื่อ วันที่ 4 ตุลาคม 2555

เขียนเผยแพร่ใน  บล็อค DrSant บทความสุขภาพ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ระบบแจ้งเตือน LINE Notify โดยเอา token notify ใส่ใน description google calendar แล้วสั่งแจ้งเตือนแยกรายกิจกรรม แยกบุคคลได้ตาม token

    ที่มา :  script.google.com function getTodaysEvents () {   // ดึง Calendar หลักของผู้ใช้   var calendar = CalendarApp . getCalendarBy...